4/15/2018 0 Comments ...The Early Bird...Are you an early bird? I consider myself an early bird. I wake up every morning at around 5 am. And I have been doing this for years now so my body gets used to it and I don’t even need an alarm clock to wake me up. My body has its own alarm clock and it just knows when to wake up. I work for myself and from home and there is no rush hours to catch. I don’t have a reason to get up so early at all. So why I became an early bird? Well, I guess I am just so fond of everything I can feel in the early hours. You know the smell in the air, the indescribable peace and stillness, the strange illumination of the sky where the night merges into the dawn and everything else. Even my mood and the beautiful dimmed lights in my kitchen. Everything somehow is just in a perfect harmony. You can’t find this in any other time of the day. And if you take a minute to look out of your window and absorb everything you see and feel while the whole street is still asleep... you know it feels as if you are the only person on earth who is awake. Even the birds are still asleep. And when you are lucky, you would have a chance to greet the last shining star before it fades slowly into the dawn. It’s such the most magical moment. I also have my own morning rituals, like jogging or doing simple yoga. While jogging in the middle of the vast field, I stop to meditate sometimes. I don’t often meditate indoor. I prefer to do it when I am outside by simply letting go off my mind into the nature. And then when I'm back home, it’s coffee and breakfast time! I treasure my morning rituals so much that every evening I can’t even wait to go to bed early and get up early to enjoy them. Oh, and I always make my own bread also. I rarely buy bread from a shop. So baking bread becomes the highlight of the morning as well. I usually mix the batch before I go to bed so it’s ready to be baked in the morning as soon as I get up. The smell of home baked bread in the early morning is the most soothing thing ever. It feels absolutely like living in a lovely bakery shop. They say if you win the morning, you win the day. And I can’t agree more. Imagine if you wake up and the first thing you feel is fear or anxiety or a lack of energy, it’s terrible, right? And it’s more likely you will feel the same the rest of the day. So try to win the morning, and you can win the day. It doesn’t take much time or an effort. Let’s start your day with peace and calmness and end your day as well with the same thing, you will feel a lot different in your daily life and also about yourself. Try it and you will know what I mean :) . . . . เพื่อนๆชอบตื่นเช้ากันไหมจ้ะ...? อ้อมเป็นคนที่ตื่นเช้า...อืมม มากกก.. ทุกวันเวลาตื่นปกติจะราวๆตีห้า หรือบางทีก็เช้ากว่านั้น (อ้อมนอนแต่หัวค่ำด้วยน่ะจ้ะ) และเพราะเป็นคนที่ชอบตื่นเช้ามานานหลายปี ร่างกายเลยปรับตัวจนชิน และมีนาฬิกาปลุกของตัวมันเองโดยอัตโนมัติ แทบไม่ค่อยได้ใช้นาฬิกาปลุก นอกจากครั้งไหนที่มีเวลาฟิกซ์ตายตัว อย่างเช่นเวลาที่ต้องออกเดินทางหรือต้องขึ้นเครื่องแต่เช้ามืด (ตกเครื่องล่ะแย่เลย) ด้วยความที่อ้อมทำงานอิสระมาตลอด และทำอยู่กับบ้าน ไม่ได้มีชีวิตที่เร่งรีบ ต้องรีบตื่น หรือต้องรีบออกจากบ้านให้ทันเวลาทำงานเหมือนคนอื่นทั่วไป จริงๆจะว่าไปก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องตื่นเช้าเลย แล้วทำไมถึงชอบตื่นเช้า?? หลายคนอาจจะสงสัย คำตอบคืออ้อมชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มากับตอนเช้า(มืด) อย่างกลิ่นหอมของอากาศบริสุทธิ์ ความเงียบสงบเวลามองออกไปนอกหน้าต่างในขณะที่ทั้งถนนยังหลับไหล มันรู้สึกเหมือนทั้งโลกมีตัวเองตื่นอยู่คนเดียวยังไงยังงั้น แม้กระทั่งนกก็ยังไม่ตื่นเลย และสีสันแปลกๆของท้องฟ้ายามที่ความมืดของราตรีค่อยๆถอยหนีจากรัศมีของความสว่างที่เคลื่อนตัวเข้ามา ถ้าโชคดีหน่อยในวันฟ้าเปิดก็จะทันเห็นดาวดวงสุดท้ายที่ค่อยๆเคลื่อนลับขอบฟ้าไปด้วย อ้อมชอบแม้กระทั่งอารมณ์นิ่งๆของตัวเองยามเช้าแบบนี้ และแสงไฟสลัวๆในครัวตอนเริ่มชงกาแฟ และกลิ่นหอมของกาแฟ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างพอเหมาะและลงตัวที่เรารู้สึกไม่ได้แบบนี้ในช่วงอื่นของวัน อีกอย่างมันคงเป็นอารมณ์และความทรงจำที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยเด็กมากๆ ตอนที่อ้อมต้องตื่นแต่เช้ามืดทุกวันเพื่อไปช่วยยายขายของที่ตลาดเช้า (ทางเหนือเรียกกาดมั่ว) และกาดมั่วหมายถึงตลาดที่เริ่มแต่เช้าตรู่ คนมาจ่ายตลาดก็มากันเช้าจริงๆ ใครมาสายตลาดก็วายล่ะ อย่างแปดโมงนี่ก็ถือว่าสายแล้ว ยายอ้อมจะตื่นก่อนตั้งแต่ตีสี่ แต่ยายจะเผื่อเวลาจัดแจงเตรียมนี่นู่นนั่นสักครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมง พอเสร็จก็ถึงเวลาอ้อมตื่นพอดี และรีบล้างหน้าแปรงฟัน วันไหนไม่รีบ อ้อมก็จะหุงข้าว(นึ่งข้าวเหนียว)ไว้รอพ่อกับแม่ด้วย แม่ตื่นมาข้าวก็สุกพอดี ไม่ได้หุงแบบหม้อหุงข้าวไฟฟ้าด้วย แต่ขั้นตอนเยอะมาก ต้องซาวข้าว และอะไรอีกหลายขั้นตอน ถ้าเป็นวันธรรมดาอ้อมก็จะใส่ชุดนักเรียนไว้พร้อม และหิ้วของพะรุงพะรังเดินตามยายที่หาบของเต็มตะกร้าไปขายที่ตลาดที่อยู่ห่างบ้านไปประมาณเกือบกิโล บางทีเดินไปก็คุยกับยายไปเบาๆ หรือบางทีตาก็เหม่อดูดาวบนท้องฟ้า พอใกล้ช่วงตลาดวาย แม่อ้อมก็จะขับมอเตอร์ไซค์มารับพร้อมมื้อเช้าและกระเป๋านักเรียน หรือบางทีก็กลับไปกินที่บ้าน จากนั้นก็ได้เวลาไปโรงเรียนต่อ กิจวัตรตอนเด็กๆของอ้อมทุกเช้าจะเป็นแบบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวในเวลาเช้ามืดตอนนั้นมันคือความอัศจรรย์ที่อ้อมเองก็บรรยายเป็นคำพูดไม่ถูก พอโตมาช่วงที่อ้อมไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ เช้ามืดที่กรุงเทพมันคือความอึดอัด ว้าวุ่นและวุ่นวาย แต่มันก็แค่ชั่วคราว พอเรียนจบ และต่อมาชะตาฟ้าลิขิตให้ระหกระเหินมาใช้ชีวิตที่แดนกังหัน และได้มาอยู่ที่เมืองเล็กๆแบบนี้ ความรู้สึกตอนเด็กๆที่ตื่นแต่เช้ามืดไปช่วยยายขายของที่ตลาดก็กลับมาอีก กลับมาปัจจุบัน... อ้อมมีกิจวัตรประจำตัวที่ต้องทำทุกเช้า อย่างออกไปวิ่งจ้อกกิ้ง หรือเล่นโยคะ จากนั้นก็เป็นเวลาของมื้อเช้า อ้อ... อ้อมทำขนมปังทานเองด้วยนะจ้ะ (คิดดูตลกดีเนอะ จากเด็กที่นึ่งข้าวเหนียว สามสิบกว่าปีผ่านไปกลายเป็นสาวอบขนมปัง ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องที่คาดเดายากเสมอ..) ปกติอ้อมจะผสมแป้งและทิ้งไว้ให้ขนมปังขึ้นตั้งแต่ตอนค่ำก่อนเข้านอน พอตื่นมาขนมปังก็ได้ที่และพร้อมเข้าเตาอบได้ทันที ไม่เสียเวลาเลย เช้าวันไหนที่ต้องอบขนมปัง ก็จะรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ แทบจะรอให้ถึงตอนเช้าไม่ไหว อยากรีบนอนและรีบตื่นไวๆเพื่ออบขนม (เป็นคนแปลกแบบนี้เสมอ ^^') และกลิ่นของขนมปังที่อบใหม่ๆตอนเช้าๆนั้นหอมตลบอบอวลไปทั่วบ้าน ชวนให้รู้สึกว่ามีเบเกอรี่เองที่บ้านเลย อ้อมเคยอ่านมาว่า ‘ถ้าเราเริ่มต้นวันด้วยความรู้สึกที่ดี เวลาที่เหลือของวันก็จะดีตามมาเอง’ เพื่อนๆลองสังเกต วันไหนที่เราตื่นมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว วันนั้นที่เหลือทั้งวันทุกสิ่งรอบตัวก็จะขุ่นๆมัวๆด้วยเช่นกัน อ้อมว่าเมื่อคนเรารู้จักเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความละมุนและปิดวันด้วยวิถีชีวิตนุ่มๆละมุนเช่นกัน ถ้าทำแบบนี้ได้ แต่ละวันจะผ่านไปอย่างมีความหมาย เราจะใช้ชีวิตอย่างสงบ มีสติ และเพิ่มพลังบวกให้ตัวเองมากขึ้น แอบเดาว่าหลายคนอาจจะกำลังคิด ‘เพราะอ้อมมีวิถีชีวิตแบบนี้ อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ มันง่ายอยู่แล้วที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ได้ ถ้าเทียบกับคนอื่น’... อืมม ถ้าดูผิวเผิน อันนั้นก็อาจจะมีส่วน แต่จริงๆก็ไม่ง่ายเลยนะจ้ะที่จะปรับความคิดของตัวเองให้อยู่ในระดับนี้ได้เสมอ ทั้งๆที่จริงๆมรสุมต่างๆและความท้าทายใหม่ๆในชีวิตก็มีเข้ามาเรื่อยๆ อ้อมว่าเรื่องแบบนี้ การที่จะมีทัศนคติแบบนี้ และอยู่ได้จริงแบบนี้ได้ หลักๆเลยมันมาจากส่วนลึกของจิตใจมากกว่า คือสิ่งที่เราสร้าง และซึมซับ คือสิ่งที่เราเชื่อและสั่งสมมา เพราะแบบนี้อ้อมเลยแทรกชีวิตวัยเด็กของตัวเองเข้าไปด้วย คนอ่านจะได้มองเห็นว่าจุดเริ่มต้นแรกนั้นมาจากไหน จริงๆอ้อมไม่ได้มีวัยเด็กที่สบายๆหรือง่ายๆเลย จะมีเด็กกี่คนที่ต้องตื่นแต่เช้ามืดตามยายต้อยๆไปขายของ แทนที่จะนอนอุ่นๆสบายอยู่บนเตียง ยิ่งหน้าหนาวด้วยแล้ว หนาวมากกก แต่อ้อมก็มีความสุขกับวัยเด็กแบบที่อ้อมมีนะจ้ะ ถึงสมมติถ้าย้อนเวลาไปได้ ก็ไม่เคยคิดอยากกลับไปเปลี่ยนอะไรเลย หรือเพราะคิดแบบนี้และใช้ชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก โตมาอ้อมเลยมองชีวิตไม่ค่อยเหมือนคนอื่น ก็เป็นไปได้ อ้อมเชื่อว่า ชีวิตจะนิ่ง ไม่ได้อยู่ที่การที่เราอยู่สบาย การมีบ้านสวยๆ สิ่งแวดล้อมสวยๆ ใช้ชีวิตสวยๆ อ้อมเห็นคนอยู่สบายๆ แต่ใจไม่เคยนิ่งเลย ก็มีเยอะ และในขณะเดียวกันคนที่ไม่ได้อยู่สบาย แต่กลับมีสันติสุขในหัวใจมากมาย เราก็เห็นบ่อย ความสงบจริงๆคือการที่เราสามารถมองเห็นความสวยงามในทุกสภาวะของชีวิต ยิ่งมีชีวิตที่ลำบาก อ้อมว่าก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ฝึกตัวเอง อ้อมยังจำบ้านเช่าหลังแรกของตัวเองได้สมัยที่มาอยู่ฮอลแลนด์ใหม่ๆเมื่อสิบกว่าปีก่อน สิ่งแวดล้อมแย่มาก เพื่อนบ้านก็ไม่ค่อยดี แถมอยู่ๆไปโดนขโมยงัดหน้าต่างขึ้นบ้าน ขโมยข้าวของในบ้านไปอีก เง้อออออ.... แต่บ้านเก่าหลังนั้นก็ให้อะไรกับชีวิตอ้อมเยอะ อ้อมได้ค้นพบความสามารถและความชอบหลายๆอย่างก็เพราะบ้านหลังนั้น เริ่มรักการแต่งบ้าน ทำงานฝีมือและงานดีไอวายก็เพราะบ้านหลังนั้นเช่นกัน ถ้าใครรู้จักอ้อมจากบล็อกแกงค์คงจำเรื่องราวต่างๆในบ้านหลังนั้นได้
Crisis is an opportunity to learn...”มรสุมชีวิตคือโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้” ....เขาว่างั้น และมันก็จริงด้วย
0 Comments
4/9/2018 0 Comments ...Tea and friendship...A while ago, Khun Bua, a very good friend of mine who runs her own small tea business in Thailand sent me a beautiful package of her lovely tea. It contains six different kinds of tea, Chinese tea to be specific, each one in a very lovely packaging. There are tins, square wooden box and a bamboo! And I promised her that I would try them all and give her a feedback. I was very curious though. Before I continue about the tea testing, let me tell you a bit more about Khun Bua and how our friendship started. Although we have been friends for like 6 or 7 years but we have never met each other in person. Every time I visited Thailand, we always tried to arrange our meeting but something always came up in the very last moment and then we missed each other. How pity. But that could happen. Anyway, I am sure that we will definitely get to meet each other someday somehow. How I and Khun Bua became friends was also as sweet and delightful as her tea. She was at first my customer and she bought a lot of beautiful cups from me! And then we started to get to know each other more and more, we got along quite well and we always supported each other or inspired each other. I think that was the key factor how our online friendship started to flourish. She was always there as well when I had a tough time. And I was so delighted one day when she told me she was going to start her own tea business. One girl is selling tea cups and the other one is selling tea. We are such a perfect match, don’t you think? :) And this tea testing wouldn’t have been so wonderful and successful without Els, my dearest friend and neighbour whom I have known now for almost a decade. You know there is this old Dutch saying regarding having a good neighbour ‘Beter een goede buur dan een verre vriend’ which means it’s better to have a good neighbour than a far-away friend. I think it is absolutely true and I am lucky I have the best neighbour who is also my best friend. I mentioned this tea testing to Els and since we didn’t have any plan for Easter so we decided to do it on the Easter day at Els’s place. Having our little private tea party seems like a jolly way to celebrate Easter :) Each of us would make something nice to go with the tea too so I made chocolate fudge cake and Els made a typical Dutch apple tart. Yummy! At first I came up also with the theme of our tea party. ‘It’s gonna be blue and gold, something to symbolize and celebrate the existence of my Blossom Blue, my beautiful world...’ I thought. So I sorted out all my lovely collection of cups and plates and other accessories that would go well with the theme. I have quite a lot you know. My house is packed full of beautiful things. However when the day came, I got too carried away and just brought everything that I thought beautiful with me. So our tea party became quite colourful with colourful china and a lot of polkadots, which I don’t mind at all. Who could say no to the polkadots! :) So Easter was here and the day was so nice and sunny. The good weather can always lift up your spirit. I brought all my stuff to Els’s house on foot. Took me a couple rounds to bring everything but it was worth it. Since we had so many kinds of tea to try so we divided them into sessions. We made the first batch of tea in the tea pot, we brewed it with just enough amount to make maybe 1 and a half cup for each of us, then we slowly sipped it, commented it with each other and I noted all down. Then we would wait a bit before we brewed the next one. It wasn’t just about the tea testing you know, we enjoyed it indeed very much! The tea that I got from my friend are pure tea with all single picked leaves, not the simple tea bag we usually see in the shop. And to me this requires a little more attention and respectfully I think it deserves a special ritual to carry out, almost like a spiritual event. You have to do it right with the calm and attentive mind. So I gave all my full attention to this event and I am glad I did. So did Els. There are six different kinds of tea in the package so this is the summary of our review after testing them:
So from all five tea that we tested together (green tea doesn’t count) we came into the same agreement and conclusion that Da Hong Pao is our most favorite tea from the five. It has that most delightful both taste and scent, the flavour is not too strong and not too mild, just the right amount and at the same time with that extra sweet and mellow taste to it. It is the most soothing tea I think. The rest is very good too like Tieguanyin. I guess we both like Oolong tea in general. Anyway Da Hong Pao is just the winner for us here. Khun Bua also recommended that I could try blending the tea myself as well by using her tea as the tea base. I find that idea very interesting. So I can come up with any flavour of tea of my own! Cool. Last summer I harvested a lot of lavenders from my own garden. I dried them in the sun, packed them and kept them well in my kitchen. Maybe I could try having my very first blended tea, the oolong with lavender flavour. How does that sound? Before I go, I want to say something more about friendship. Don’t you think it’s funny how two people (or more) meet, connect, become friends and so on? The first time when Els and I met, it was when I just moved to my house and I was very new to the neighbourhood. There was then a BBQ party where people on our street organized and I took this opportunity to join in and get to know the neighbours. Els was there too and the first thing she said to me was… ‘Your smile reminds me a lot of my own niece’. :) I believe to make friend takes quite a courage. A courage to open up yourself, to initiate, to accept others and then allow the friendship to grow. Anyway, to stay friends is a lot harder than making friends. And since I just wrote about the tea, now I think I can relate the idea of friendship to tea as well. A good friendship or a good relationship in general is just like a good cup of tea. And a good cup of tea means a good blend of all things together, how warm the water is, the kind of tea we put in there, the amount of it, do we need sugar and cream? The right time to drink this tea, or even the type of cup we use! You see, it’s these little things put together. I don’t mean that we have to measure things up all the time, that would make us insane. It usually comes naturally I believe or at least in my case. Sometimes you just know. And of course each of us has different ideas about tea and we have different tastes, so we just need to find our own right cup of good tea, right? Thank you for dropping by. And if you are interested in the tea that I wrote on this entry. Feel free to go check the Tea Kari page here: www.facebook.com/teakaribytnr/ I wish you all a delightful day! . . . สวัสดีค่ะ... ถ้าใครติดตามเพจ Blossom Blue มาพักใหญ่ๆ อาจจะสังเกตเห็นเพจชา Tea-Kari ที่อ้อมเอามาแชร์อยู่บ่อยๆ อ้อมกับคุณบัวซึ่งเป็นเจ้าของเพจ และผู้ก่อตั้ง Tea-Kari เป็นเพื่อนออนไลน์กันมานานหลายปีมากๆ คิดๆดูแล้วน่าจะ 6-7 ปีได้ โดยเริ่มต้นที่คุณบัวเข้ามาเป็นลูกค้าอ้อมก่อน พอเห็นว่าคุยกันถูกคอ และถูกชะตา (อันนี้สำคัญเนอะ) เลยติดต่อกันมาเรื่อยๆ และคอยให้กำลังใจกันและกันเสมอ ทุกครั้งที่อ้อมกลับไปเที่ยวเมืองไทย ก็พยายามนัดเจอกัน เพราะบ้านคุณบัวอยู่ไม่ไกลจากบ้านอ้อม (สาวเจียงใหม่เจ้า กับสาวลำปางหนา :) แต่กระนั้นก็มีเหตุจำเป็นในวินาทีสุดท้ายให้คลาดกันทุกที แต่ไม่เป็นไร ยังไงสักวันเราต้องเจอกันตัวเป็นๆให้ได้ล่ะ คนเราเมื่อคู่กันแล้วยังไงก็ไม่แคล้วกัน ไม่มีคู่ไหนที่เหมาะสมกันขนาดนี้อีกแล้ว คนนึงขายถ้วย อีกคนขายชา a perfect match อิอิ... หลายเดือนก่อน อ้อมกับคุณบัวเล่นแลกของกัน อ้อมส่งเซ็ทถ้วยชาไป ส่วนคุณบัวส่งชาของ Tea-Kari มาให้อ้อมลองชิม และอ้อมสัญญากับคุณบัวไว้ว่าชิมครบทั้งหมดเมื่อไหร่ อ้อมจะเขียนรีวิวให้อ่านเล่นๆ แต่เพราะอ้อมต้องเดินทางบ่อย บวกภารกิจชีวิตนู่นนี่นั่น เลยไม่มีเวลาชิลๆนั่งจิบชาเซ็ตนี้ของคุณบัวสักที จนกระทั่งเมื่อวันอาทิตย์ต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันอีสเตอร์ของที่นี่ และเป็นช่วงที่อ้อมอยู่บ้านพอดี อ้อมเลยชวน Els เพื่อนบ้านชาวดัตช์รุ่นคุณแม่(เธอเกิดปีเดียวกับแม่อ้อมด้วย) นัดจิบชากันในบ่ายวันอีสเตอร์ เกริ่นถึงคุณบัวไปแล้ว เลยขอเกริ่นถึงเอลซ์อีกสักนิดก่อนจะเข้าเรื่องชาอย่างจริงๆจังๆเนอะ พวกเราทำงานกันเป็นทีมเวิร์ค อิอิ.. เอลซ์(Els)เป็นทั้งเพื่อนบ้าน เพื่อนสนิท เป็นผู้ปกครอง เป็นคนที่คอยกอดเวลาอ้อมอ่อนแอ เป็นคนที่ปาดน้ำตาในวันที่อ้อมผิดหวังหรือเสียใจ เวลาอ้อมเดินทาง เธอยังคอยดูแลบ้านและรออ้อมกลับบ้านด้วย ถ้าให้พูดตรงๆคือ เอลซ์ทำให้ชีวิตน้อยๆของอ้อมที่ฮอลแลนด์มีความหมายมากขึ้น เธอเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตอ้อมที่นี่ ที่เนเธอร์แลนด์มีสุภาษิตหนึ่งที่อ้อมคอยจำไว้เสมอว่า... `Beter een goede buur dan een verre vriend` ถ้าแปลก็จะมีความหมายประมาณว่า ‘การมีเพื่อนบ้านที่ดีนั้นสำคัญกว่าการที่มีเพื่อนที่อยู่ห่างไกลกัน’... จริงๆอ้อมก็มีเพื่อนเยอะ แต่เพื่อนที่สนิทกันมากๆก็อยู่ไกลกันหมด อ้อมเลยถือว่าตัวเองโชคดีที่ได้เพื่อนบ้านที่เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งผู้ปกครอง เอลส์เป็นเสมือนตัวแทนของพ่อแม่ เป็นครอบครัวให้อ้อมที่นี่ กลับมาเข้าเรื่องชาละ พอนัดเวลากันได้แล้ว เราสองคนตกลงจัดปาร์ตี้ชาเล็กๆของเรากันที่บ้านของเอลซ์ และแต่ละคนจะทำขนมกันคนละอย่าง เอลซ์เลือกทำแอ้ปเปิ้ลทาร์ต ส่วนอ้อมทำเค้กชอคโกแลตหน้านิ่ม ตอนแรกอ้อมว่าจะมีธีมด้วย ก่อนวันงานอุตส่าห์ส่งรูปให้คุณบัวดูถ้วยชามที่อ้อมคัดเลือกไว้ และอุปกรณ์ประกอบฉากสวยๆที่จะขนจากบ้านตัวเองไป เพื่อถ่ายรูปออกมาจะได้สวยๆ บอกคุณบัวว่าจะทำธีมสีฟ้า/ทอง ให้เข้ากับชื่อเพจ Blossom Blue แต่สุดท้าย ไปๆมาๆเพลินจัด ลืมตัว เอาเข้าจริง ในวันจริง ถ้วยชามสีสันอื่นพาเหรดมากันเต็ม แถม polkadots อีกก็มาเพียบ ^^’ ต้องเดินหิ้วของพะรุงพะรังหลายรอบเลยกว่าจะขนไปหมด แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี.... วันนั้นอากาศดีด้วย แสงสวย รูปเลยออกมาสวยสดใส ถือเป็น private Afternoon Tea แบบจัดเต็มเองครั้งแรกเลยก็ว่าได้ เอลส์เองก็ชอบมาก บอกว่าเดี๋ยวเราจัดกันอีกบ่อยๆนะ สนุกดี ตอนชงชาและชิมชา อ้อมกับเอลส์ใช้วิธีชงในกา กะให้ได้แต่ละครั้งคนละถ้วยกว่าๆ และชิมชาแต่ละชนิดแบบช้าๆละเลียดๆ จิบไปช่วยกันวิจารณ์ไป อ้อมก็คอยจดโน๊ตไว้ จิบอันแรกหมด พักสักแป๊บ เม้าท์มอยนู่นนี่ กับกินขนม แล้วถึงค่อยชงชาอันต่อไป เราพยายามจะไม่อ่านข้อมูลของชาแต่ละชนิดที่แนบมากับกล่องชา แต่จะค่อยๆชิมและวิจารณ์กันเองก่อน จากนั้นถึงค่อยไปอ่าน อย่างชา Silver Needle ตอนชงและทันทีที่กลิ่นชาแตะจมูก เอลส์ทักขึ้นมาว่ากลิ่นมันออก fishy ทะเลๆเนอะ พอมาอ่านข้อมูล อ้อ... ตรงกับที่เค้าเขียนไว้พอดีว่ารสชาติจะคล้ายๆกลิ่นของสาหร่าย ชาที่คุณบัวให้มาลองชิมมีทั้งหมด 6 แบบ ซึ่งเป็นชาจีนทั้งหมดแบบเต็มใบนะคะ อ้อมเขียนรีวิวแต่ละแบบไปเลยตามนี้ค่ะ 1. Da Hong Pao (Oolong Tea) รสชาติค่อนข้างไปทางเข้มข้น แต่ไม่แรงนะคะ เข้มแต่กลับมีรสละมุนอยู่ในตัวมากๆด้วยเช่นกัน อันนี้ทั้งอ้อมและเอลส์ชอบมาก ใจตรงกันเลย 2. Ginseng (Oolong Tea) รสออกนุ่ม จิบผิวเผินเหมือนรสจะคล้ายๆชาเขียวด้วยนะ แถมมีกลิ่นโสมอ่อนๆ อ้อมชอบอันนี้ แต่เอลส์เฉยๆ 3. Gong Ting (Puer Tea) ชานี้ชงออกมาแล้วสีเข้มมาก ทั้งอ้อมกับเอลส์เดาตรงกันว่ารสชาติน่าจะเข้มมาก แต่พอจิบจริงๆรสไม่ได้เข้มเหมือนสี ตอนแรกเรารู้สึกถึงรสที่อธิบายไม่ถูก คือรสจะออกแปลกกว่าชาอันอื่น แต่ก็อธิบายเป็นคำพูดไม่ออก พอมาอ่านรายละเอียด อ้อ... มันออกแนว earthly and coarse มิน่าล่ะ ถึงบรรยายไม่ถูก อิอิ 4. Silver Needle (white tea) อันนี้ที่อ้อมพึ่งบอกไปข้างบนว่าทันทีที่ชง เราได้กลิ่นสาหร่ายนิดๆแตะจมูก ตอนแรกอ้อมเลยเข้าใจว่าเค้าผสมสาหร่ายเข้าไป แต่คุณบัวบอกว่าเป็นกลิ่นธรรมชาติเฉพาะตัวของชาชนิดนี้เอง เอลส์ชอบรูปร่างของชาชนิดนี้มาก เค้าว่าแปลกดี หน้าตาแหลมๆเหมือนเข็มสมชื่อ 5. Tieguanyin (oolong tea) รสชาติเข้ม แต่นุ่มมากกกกก เอ๊ะงงมั้ย อิอิ ตอนอ้อมจิบผิวเผินเหมือนได้กลิ่นจัสมิน แต่เอลส์ว่าไม่ใช่ มันออกแนวหอมๆเหมือนผลไม้อะไรสักอย่าง พออ่านดู อ้อ... จะออกรสแนว fruity and berry.. 6. Green Tea อันนี้ไม่ทันให้เอลส์ได้ชิม เพราะอ้อมชงเองจนหมดไปนานแล้ว :P ปกติอ้อมเป็นคนดื่มชาเขียวเป็นประจำอยู่แล้วนะคะ ตอนๆได้พัสดุมาวันแรก เลยแกะอันนี้ลองก่อนเพื่อนเลย 555 รสชาติดีมาก ทั้งหอมทั้งนุ่มละมุนมาก แนะนำเพื่อนๆเลยนะคะ รับรองคอชาเขียวไม่ผิดหวังแน่นอน ทั้งเอลส์และอ้อมจัดอันดับความชอบของชาทั้งห้าแบบได้ตามนี้ค่ะ อันนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพชานะคะเพราะถือว่าชาเค้าคัดมาอย่างดีอยู่แล้ว แต่ละคนก็ชอบต่างกันเนอะ (หมายเหตุ:ชาเขียวถือเป็นอันดับ 1 ของอ้อม แต่เพราะเอลส์ไม่ได้ชิมด้วย เลยไม่นับนะคะ) เอลส์ : 1, 5, 4, 3, 2 อ้อม : 1, 5, 2, 4, 3 อ้อ... ลืมไปว่าอ้อมดื่มชากันแบบเพียวๆ ไม่ใส่น้ำตาล นม ครีม หรือน้ำผึ้งนะคะ อ้อมไม่ชอบเครื่องดื่มแนวหวานๆเท่าไหร่ เกือบลืม อยากคุยเรื่องแพคเก็จและหีบห่อด้วย ไม่กล่าวถึงก็ไม่ได้สิ เพราะมันน่ารักมากกกก เริ่มจากกล่องไม้ที่เรียบง่าย แต่เก๋ไก๋ที่สุด พอเลื่อนฝาเปิดออกมาก็ชาหลายชนิด มีทั้งแบบตลับสังกะสี กล่องไม้ และแบบกระบอกไม้ไผ่ น่ารักจังงงงงง ชาแต่ละชนิดก็จะมีคำอธิบายอย่างละเอียด ตั้งแต่ลักษณะของชา พร้อมวิธีชงเสร็จสรรพ แต่เป็นภาษาอังกฤษนะคะ อ้อมไม่แน่ใจคุณบัวทำเป็นภาษาไทยด้วยไหม พูดง่ายๆคือ ชาทั้งเซ็ตของ Tea Kari เหมาะทั้งดื่มเอง เก็บสะสมเอง หรือมอบเป็นของขวัญของฝากก็ได้นะคะ และเพราะเอลส์ชอบ Da Hong Dao มาก อ้อมเลยมอบชาอันนี้ให้เอลส์ไปเลยหลังเราจิบกันเสร็จ และมึนชากันไปสามวัน เพราะดื่มไปเยอะมาก ฮาาาาา.... อ้อ...คุณบัวแนะนำให้ลอง blend ชาเองด้วย น่าสนใจมาก อ้อมว่าจะใช้ชาของ Tea Kari นี่ล่ะเป็นเบส แล้วเราค่อยมาดูกันว่าอ้อมจะทำชารสชาติใหม่อะไรดี ขอไปคิดดูก่อน อิอิ อ้อมตากแห้งดอกลาเวนเดอร์จากสวนหลังบ้านตัวเองไว้เยอะเลยตั้งแต่ซัมเมอร์ปีที่แล้ว หรือจะทำชาจีนกลิ่นลาเวนเดอร์ดีมั้ยน้าาาาา ไว้ติดตามกันน้าาาา stay tuned! ขอบคุณคุณบัวกับชารสชาติดีๆที่ส่งมาให้ชิม รวมไปถึงกำลังใจ ความปรารถนาดีและความรู้สึกดีๆที่ให้กันมาเสมอในโลกออนไลน์แห่งนี้ มิตรภาพระหว่างเราจะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ และคงจะเบ่งบานและหอมละมุนต่อไปเรื่อยๆเช่นกันเหมือนหัวใจอ้อมและชา tea kari ของคุณบัวนะคะ วันนี้จบรีวิวกันเท่านี้ อ่านเพลินกันดีมั้ยเอ่ย ใครอยากมีประสบการณ์ลิ้มรสชาดีๆหอมๆแบบนี้บ้าง ลองเข้าไปดูที่เพจ tea kari ของคุณบัวตามลิงค์นี้นะคะ : www.facebook.com/teakaribytnr/ . . . ก่อนไปอ้อมอยากคุยเรื่องมิตรภาพสักนิด เพื่อนๆคิดเหมือนกันไหมจ้ะว่าคนเราจะเป็นเพื่อนกันได้ จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ครั้งแรกที่อ้อมเจอเอลส์ ตอนนั้นอ้อมพึ่งย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ และไม่รู้จักใครเลย อยู่ไปไม่กี่วัน พอดีกลุ่มเพื่อนบ้านอ้อมรวมตัวกันจัดงานเลี้ยงบาร์บีคิว อ้อมก็ร่วมด้วย คิดว่าถือโอกาสนี้แนะนำตัวเอง และจะได้รู้จักเพื่อนบ้านไปด้วยว่าใครเป็นใคร วันนั้นเอลส์ก็มาร่วมด้วย และประโยคแรกที่เอลส์เข้ามาทักอ้อมคือ ‘รอยยิ้มของเธอทำให้ฉันนึกถึงหลานสาวของฉันมากๆ’... :) อ้อมเชื่อว่าการจะหาเพื่อนสักคนเจอนั้นต้องมี’ความกล้า’เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมาก คือกล้าที่จะเปิดใจ กล้าที่จะยอมรับคนอื่นเข้ามา และกล้าที่ปล่อยให้มิตรภาพนั้นเบ่งบาน จริงๆการรักษามิตรภาพให้คงอยู่นั้นยากกว่าการหาเพื่อน ทำอย่างไรให้ความเป็นเพื่อนอยู่นานๆ... ไหนๆอ้อมก็พึ่งเขียนเรื่องชาไป ตอนนี้เลยคิดว่ามิตรภาพของคนสองคน หรือแม้กระทั่งความรัก จะว่าไปมันคล้ายๆกับการได้จิบชาดีๆสักถ้วย และชาดีๆสักถ้วยนั้นหมายถึงการที่ส่วนผสมของทุกสิ่งทุกอย่างเข้ากันอย่างลงตัวในถ้วยใบนั้นๆ อย่างเช่น อุณหภูมิของน้ำร้อนที่ชง ชนิดของชาที่ใส่ ปริมาณที่ใส่ เติมนมหรือจิบเพียวๆ เวลาที่เลือกจิบชาถ้วยนี้ หรือแม้กระทั่งชนิดของถ้วยชาที่ใส่ ทุกสิ่งล้วนสำคัญกับการจะได้ดื่มชาดีๆสักถ้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะต้องมานั่งวัด นั่งกะทุกขั้นทุกตอน ทุกเวลา แบบนั้นก็มากไป จริงๆของอย่างนี้มันเกิดและเป็นไปอย่างธรรมชาติมากกว่า ส่วนมากในกรณีของอ้อมจะเป็นแบบนั้นส่วนใหญ่ เราจะรู้ของเราเอง... และแน่นอนว่าเราแต่ละคนต่างชอบชาไม่เหมือนกัน เพราะคนเรามีรสนิยมไม่เหมือนกัน เราแค่ต้องหาจุดลงตัวของเราเอง หาชาที่เหมาะกับเราแค่นั้นเอง ลากันด้วยบรรยากาศ tea for one ของอ้อมเองที่บ้าน ... อยู่บ้านคนเดียว ทำขนมเอง จิบชาคนเดียวชิลๆ ก็เพลินได้นะคะ ออกแนว self indulgent แต่แอบสารภาพว่าจริงๆจิบกันหลายคนสนุกกว่าเยอะเนอะ ยิ่งจิบกับแฟนยิ่งเคลิ้มมมมม (ว่าไปนั่น อิอิ) ใครอยากมาจิบชากับอ้อมบ้างงงงงงง . . . แล้วคุยกันใหม่นะคะ |